4 วิธีรับมือเมื่อลูกร้องตะเบ็งเสียง ไม่ยอมหยุด
อาการร้องไห้ของทารกแรกเกิด 3 เดือน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทารกกำลังปรับตัวกับโลกภายนอก เสียงร้องเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาทำได้ บางครั้งทารกอาจร้องเสียงดังโดยที่คุณหาสาเหตุไม่เจอ อาจเป็นเพราะ:
- กำลังหิว
- ต้องการความอบอุ่น
- ผ้าอ้อมเปียกหรือสกปรก
- เหนื่อยแต่นอนไม่หลับ
- ต้องการให้อุ้ม
อาการร้องไห้ของทารกวัย 3-6 เดือน
ทารกเริ่มรับรู้สิ่งแวดล้อมมากขึ้น เริ่มเรียนรู้ว่าเสียงร้องของตนเองสามารถดึงดูดความสนใจได้ และอาจเริ่มร้องไห้ด้วยเหตุผลที่หลากหลายขึ้น อาจเป็นเพราะ:
- ความเบื่อหน่าย
- ความไม่สบายตัว
- ฟันกำลังขึ้น
- ต้องการความสนใจ
อาการร้องไห้ของทารกวัย 6-12 เดือน
ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่ทารกเริ่มมีพัฒนาการด้านอารมณ์และการเรียนรู้สูงมาก เริ่มรู้ว่าการร้องไห้สามารถ ใช้ควบคุมสถานการณ์ ได้
- ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แค่ร้องเฉยๆ
- ต้องการควบคุมสถานการณ์ หรือ เรียกให้สนใจเขา
- วิตกกังวลเมื่อพ่อแม่จากไป
- กลัวคนแปลกหน้า
อาการร้องไห้ของทารกวัย วัย 1 ขวบขึ้นไป
เด็กวัยนี้เริ่มพัฒนาความเป็น ตัวของตัวเอง ต้องการเลือกเอง และเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยที่เรียกว่า วัยทองของเด็ก (Terrible Two) การร้องไห้ในวัยนี้จึงอาจเกิดจาก:
- ต้องการแสดงความเป็นอิสระ
- ไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้ชัดเจน
- หงุดหงิดเพราะร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้ขยับตัวไม่คล่องดั่งใจ
วิธีรับมือเมื่อลูกร้องตะเบ็งเสียง
เมื่อต้องเผชิญกับเสียงร้องที่ไม่หยุดของลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่แทบจะเดินไปทุกที่พร้อมกับเสียงกรีดร้องติดหูไปด้วย หากเกิดแบบนี้ขึ้นมาจะต้องรับมือยังไงดีละ?
ขั้นแรก คือ เช็คลูกให้ชัวร์ก่อน
เด็กก็เหมือนกับผู้ใหญ่เรานี่แหละค่ะ เวลาหิว ร้อน หรือรู้สึกไม่สบายตัว มักจะหงุดหงิดเป็นธรรมดา มาลองไล่เช็กทีละอย่างกันก่อนนะคะ เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวเล็กร้อง อาจเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ เลยค่ะ
- หิวหรือเปล่า? ถ้าเวลามื้อล่าสุดผ่านไปสักพักแล้ว ลองให้นมดูค่ะ บางทีแค่ท้องร้องเบาๆ เขาก็ส่งเสียงดังแล้วนะ
- ผ้าอ้อมเปียกไหม? ความเปียกชื้นเล็กๆ ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้มากกว่าที่เราคิด
- ร้อนหรือหนาวไปหรือเปล่า? ลองเช็กอุณหภูมิห้อง หรือจับตัวลูกดูว่าเหงื่อออกไหม หรือมือเท้าเย็นเกินไป
- ง่วงแต่นอนไม่หลับ? ทารกบางคนพอง่วงแล้วจะร้อง เพราะเขายังไม่สามารถปรับตัวเองให้หลับได้ เพื่อให้ลูกน้อยหลับสบาย แนะนำ ถุงนอนเด็กทารก ให้ลูกน้อยหลับสนิทตลอดคืน
ถ้าเช็กแล้วว่าให้นมแล้ว ผ้าอ้อมก็แห้ง อุณหภูมิก็โอเค แต่ลูกยังร้องอยู่ อาจถึงเวลาลองใช้วิธีอื่นๆตามนี้ ช่วยปลอบเขาดูนะคะ
- การอุ้มแนบอกให้ลูกได้ยินเสียงหัวใจคุณ ให้เขารู้สึกถึงไออุ่นและความปลอดภัย บางครั้งการเดินไปมาเบาๆ พร้อมกับเต้นตามจังหวะการเต้นของหัวใจแม่ (ประมาณ 60-80 ครั้งต่อนาที) เป็นจังหวะที่คุ้นเคยสำหรับทารกจากช่วงในครรภ์ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้
- สร้างสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา ก็ช่วยได้มากนะคะ โดยการห่อตัวลูกด้วยผ้าอ่อนนุ่มให้รู้สึกมั่นคง (swaddling) แต่ไม่แน่นเกินไป จากนั้นอุ้มในท่าที่ท้องน้อยของเขาแนบกับแขนของคุณ ความอบอุ่นและแรงกดเบาๆ ที่ท้องอาจช่วยบรรเทาอาการไม่สบายท้องได้
- เสียงขาวหรือ White noise อย่างพวกเสียงพัดลม เครื่องดูดฝุ่น คล้ายกับเสียงเลือดไหลเวียนที่ทารกได้ยินตอนอยู่ในครรภ์! คุณอาจจะแปลกใจที่พบว่าเสียงดังเบาๆ กลับปลอบโยนลูกได้ดีกว่าความเงียบสงัด (ซึ่งบางครั้งเสียง noise เหล่านี้ก็ทำให้ผู้ใหญ่หลับด้วยเช่นกันค่ะ)
อีกขั้นที่แม่ๆอาจจะไม่เคยนึก คือ การสร้างสิ่งเร้าใหม่!
แปลกแต่จริงค่ะอย่างที่เวลาเด็กร้องไห้ พ่อแม่ชิงร้องดังกว่า หรือ ร้องเพลงเสียงดังแทน เพราะ การสร้างสิ่งเร้าที่จัดใหญ่กว่า กลับทำให้เด็กตะลึง! ต้องใช้เวลาประมวลผล จนลืมสาเหตุที่ร้องไห้แต่แรกไปเลย หรือ พาลูกออกไปนอกบ้าน ให้เห็นต้นไม้ แสงแดด ได้ยินเสียงนกร้อง ทำให้พวกเขาหยุดร้องเพราะกำลังสนใจสิ่งแปลกใหม่รอบตัวแทนก็ได้นะคะ
รับมือกับลูก1ขวบที่ร้องกรี๊ดเอาแต่ใจ
เด็กวัยนี้อาจร้องกรี๊ดเพราะต้องการสื่อสารหรือแสดงความไม่พอใจ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ตัวคุณพ่อคุณแม่เองควรจะเริ่มสอนให้ลูกรู้จัก จัดการอารมณ์ของตัวเอง ค่อยๆ ฝึกให้เข้าใจว่าการเรียกร้องด้วยการร้องไห้เสียงดัง ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม
- ใช้คำพูดง่ายๆ: สอนให้เด็กบอกความต้องการด้วยคำพูดหรือท่าทางแทนการร้อง
- ให้ทางเลือก: "หนูจะเล่นตุ๊กตา หรือ อ่านหนังสือดี?" ช่วยให้เด็กรู้สึกมีอำนาจในการเลือก
- ตั้งขอบเขตชัดเจน: หากร้องเพราะเอาแต่ใจ พูดด้วยเสียงนุ่มแต่หนักแน่นว่า "แม่เข้าใจว่าหนูอยากได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้นะ"
การรับมือของคุณพ่อคุณแม่ คือ การดูแลตัวเอง
ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าเมื่อต้องเผชิญกับเสียงร้องของลูกทั้งวันโดยเฉพาะเมื่อลูก1ขวบร้องไห้ไม่ยอมนอน อาจทำให้คุณรู้สึกหมดแรง เครียด หรือหงุดหงิดได้ แต่สิ่งสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลตัวเองด้วย เพราะเมื่อตัวคุณสงบและมีพลังมากพอ ก็จะสามารถดูแลลูกได้ดี มีสติในการจัดการมากขึ้น
และที่สำคัญไม่ว่าคุณจะเหนื่อยหรือหงุดหงิดแค่ไหน อย่าไปหงุดหงิดลงที่ลูกเด็ดขาด เพราะเด็กไม่รู้ว่าจะจัดการอารมณ์อย่างไร เขาเลยมีเท่าไหร่ ปล่อยมาทั้งหมด จำไว้ว่าการร้องไห้ของลูกเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการและคุณกำลังทำดีที่สุดแล้ว เมื่อเด็กโตขึ้น พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ตัวเอง และทุกอย่างจะดีขึ้นตามเวลา เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะคะ